คำถามแรกในใจที่รู้ได้ไปไต้หวันคือ "ไต้หวันมีอะไรให้เที่ยวฟะ??" แต่หลังจากกลับมาขอบอกว่า "คุ้มค่าจริงๆ" ครับ ลองติดตามดู
ไปเที่ยวมา 4 วัน 3 คืนครับ ขอแบ่งเป็น 3 ตอน ตอนแรกจะเป็นการเดินทาง พารู้จักไต้หวันเบื้องต้น จนถึงนอนคืนแรกที่เมืองผูหลี่ครับ
นาข้าวในยามเช้าที่มีหมอกปกคลุม เมืองผูหลี่
ความรู้สึกแรก : ไต้หวัน คือ จีนที่ไม่มั่ว มีมารยาท ถนนสะอาดสะอ้าน แม้จะไม่เท่าสิงคโปร์ แต่ก็มีน้ำหมากเป็นจุดๆ เอ๊ะ น้ำหมากมาจากไหน 555 เดี๋ยวตอนท้ายมีเฉลยครับ บ้านเมืองเจริญมาก ธรรมชาติเยอะดี
พาเรียนวิชาไต้หวัน 101
จาก wikipedia
- ประวัติศาสตร์อันใกล้ : ไต้หวันปกครองโดยราชวงศ์ชิง จนมาถึงช่วงพระนางซูสีไทเฮาเป็นผู้สำเร็จราชการในช่วงปลาย ญี่ปุ่นก็บุกเมืองจีน จนไปเกือบถึงพระราชวังต้องห้าม พระนางเลยต้องลงนามสนธิสัญญา ชิโมโนเซกิ สงบศึกโดยมีการยกเกาะไต้หวันให้ญี่ปุ่นปกครองเป็นข้อแลกเปลี่ยนหนึ่ง ไต้หวันอยู่ใต้การปกครองของญี่ปุ่น 50 ปี พอแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ต้องยกเกาะไต้หวันคืนให้กับ รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค ในปี 1947 หลังจากนั้น 3 ปี เจียงไคเช็คก็แพ้ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์เลยหนีไปตั้งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ที่เกาะไต้หวัน
- มรดกของญี่ปุ่น : จากที่ญี่ปุ่นเคยปกครองไต้หวันมา 50 ปี เลยมีมรดกของญี่ปุ่นบนไต้หวันเยอะมากๆ เช่น ดอกซากุระหลายสายพันธุ์ ตอนไปนี่ออกดอกพอดีครับ ออกก่อนญี่ปุ่นประมาณ 1 เดือน ผังเมืองก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี มรดกทางความคิดที่สำคัญคือ คนไต้หวัน "ไม่เกลียดญี่ปุ่น" ต่างกับจีนแผ่นดินใหญ่ที่เคยมีอดีตที่ขมขื่นที่นานกิง คนไต้หวันถือว่าญี่ปุ่นเข้ามาพัฒนาประเทศ ญี่ปุ่นดูแลไต้หวันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศตัวเองไม่ได้กดขี่ ถ้าสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นชนะ ไต้หวันก็คือ ญี่ปุ่นเกาะใต้สุด ไม่ใช่คิวชู ครับ
- ภูมิศาสตร์และสภาพอากาศ : ประเทศไต้หวันมีลักษณะเหมือนมันเทศ อันนี้ไกด์ท้องถิ่นลูกครึ่งไต้หวันบอกเอง เป็นภูเขา 70% เป็น ที่ราบ 30% ภูเขาอยู่ตอนกลางของประเทศ ที่ราบจะอยู่ตามขอบ อากาศหนาวชื้น ฝนตกชุก ที่ผมไปโชคดีหน่อยเพราะพยากรณ์อากาศ 4 วันที่อยู่ฝนจะตก 3 วัน แต่ของจริงตกแค่วันเดียว แต่ 4 วันที่วันที่อยู่ไม่เจอแสงแดดเลย แสงแดดเป็นของหายากของที่นี่ ไกด์ท้องถิ่นเล่าว่าคนที่นี่จะใช้ "เครื่องอบผ้า" เพราะตากแดดแทบไม่ได้ ตากไปก็จะเจอฝนละอองนาโน ผมเจอที่ตึก 101 คือ เหมือนไม่ตกแต่จริงๆมันตก ผมก็งง เขากางร่มทำไม ที่ไหนได้ฝนละอองเล็กมากๆ
- พื้นที่ : ไต้หวันมีพื้นที่ 36,193 ตร.กม. ซึ่งนึกภาพไม่ออกแน่ๆ เอาเป็นว่าเอาจังหวัดที่พื้นที่เยอะที่สุดในไทย คือ นครราชสีมา คูณ 2 แล้วยกทับเกาะไต้หวัน ปรากฏว่าเลยครับ ถ้าจะให้เป๊ะๆคือเท่ากับ 7 จังหวัด ระยอง จันทบุรี ตราด ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ปราจีนบุรี รวมกันครับ ก็คือเท่ากับ "ภาคตะวันออกของประเทศไทย" นั่นเอง
- ถนน : เพราะเป็น ภูเขาเยอะ ธรรมชาติเลยเยอะตามครับ ตอนไปรถบัสวิ่งบนมอเตอร์เวย์ที่เป็นตรงขนานกับพื้นตลอด คือถ้าเจอภูเขาเขาจะเจาะ ถ้าเจอหน้าผา เขาจะตั้งตอหม้อสูง ตอนวิ่งบนเหวไม่กล้ามองลงไปครับ เสียวมาก ลมก็แรงด้วย
- คนไต้หวัน : คนไต้หวันส่วนใหญ่ คือ ชาวฮั่นที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ 70% เป็นชาวฮกเกี้ยนที่อพยพข้ามฟากมาจากมณฑลฝูเจี้ยน 15% เป็นชาวฮากกาที่มาจากกวางตุ้ง คนไต้หวันใช้จีนกลางเป็นภาษาราชการ แต่เวลาคุยกับเพื่อนบ้านจะใช้จีนฮกเกี้ยน ดั้งนั้นถ้าใครพูดแต้จิ๋วได้จะต่อราคาของได้สนุกมาก เพราะภาษาใกล้เคียงกัน ในคณะที่ไปเป็นแต้จิ๋วทั้งนั้นคุยกันเพลินเลย มีผมเป็นฮากกาคนเดียว แต่ก็มีประชากรส่วนน้อยที่เป็นเจ้าของเกาะมากก่อน คือ อะบอริจิน ครับ ไม่ผิดครับ ไต้หวันมีอะบอริจิน ครับ เหมือนออสเตรเลียนั่นแหละครับ มีถึง 16 เผ่า เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ประธานาธิบดีไต้หวันคนปัจจุบัน ไช่อิงเหวิน ก็มีเชื้อสายฮากกาผสมอะบอริจิน ครับ เธอมียายเป็นอะบอริจิน
- การเมืองปัจจุบัน : รัฐบาลคือพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า หรือ DPP มีความสัมพันธ์กับจีนไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ ฝ่ายค้านคือพรรคชาตินิยม หรือ ก๊กมินตั๋ง ของเจียงไคเช็ค มีความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ค่อนข้างดี
ลงเครื่องบินที่สนามบินเถาหยวนเหนือสุดของเกาะไต้หวันปุ๊บ ก็รับประทานขาปูยักษ์ภัตตาคารใกล้สนามบิน
ขาปูยักษ์น้ำแดงอบเส้นอุด้ง
อิ่มปุ๊บ ขึ้นรถต่อมุ่งสู่จุดศูนย์กลางของประเทศ เมืองผูหลี่ เมืองในหุบเขา อารมณ์เหมือนลงกรุงเทพแล้วนั่งรถไปปากช่อง เวลาพอๆกัน ระหว่างทางไกด์ท้องถิ่นก็แนะนำประเทศไต้หวัน ตามที่ผมเขียนไปข้างบนนั่นแหละครับ จำเขามา มีตอบคำถามได้รางวัลเป็นของดีไต้หวันด้วยครับ
นมมะละกอ ของดีไต้หวัน
บรรยากาศในโรงแรม
ในตู้อัตโนมัติเกือบทุกตู้เจ้านมนี่จะอยู่มุมซ้ายบนเสมอ คือ ขายดีสุด เป็นของบริษัท ยูนิเพรสซิเดนท์ ไต้หวัน ครับ จริงๆต้นกำเนิดก็มาจากไต้หวันแหละครับ ที่มาขายชา ยูนิฟ กับ น้ำผัก ยูนิฟ บ้านเรานั้นเป็นบริษัทสาขา รสชาดมะละกอแท้ครับ อร่อยดี ซื้อกลับเมืองไทยมากินอีก 2 กล่องครับ
ระหว่างเดินทางก็จะเจอตู้ไฟแวบๆ แดง สลับ เขียว เห็นมาแต่ไกล มันคือตู้อะไร
ใช่แล้วครับ มันคือตู้ขายหมาก อันลือชื่อของไต้หวัน ระหว่างทางไปผูหลี่ ผมเห็น 3 ตู้
เสียดายที่ผ่านไปตอนบ่ายแก่ๆ อดเจอ "สาวขายหมาก" ที่ใส่น้อยชิ้นเลย 555
การกินหมากของชาวไต้หวันมากจาก อะบอริจิน บนเกาะที่อยู่มาเก่าก่อนครับ คือ พวกนี้จะไม่สุงสิงกับชาวฮั่น แต่พอชาวฮั่นมาอยู่เยอะขึ้น กระนั้นเลย มอมเมาพวกมันด้วยหมากแสนอร่อยซะเลย ลูกค้าอันดับ 1 เลย คือ คนขับรถทางไกลครับ ลูกค้าส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย ก็เลยต้องมีการตลาดเป็นพริตตี้ขายหมากซะเลย สาวขายหมากก็ต้องแข่งกันใส่ให้น้อยชิ้น เพื่อดึงดูดลูกค้า เสียดายวันที่ผมไปตู้ที่ว่าไม่ค่อยใส่เสื้อผ้าเป็นอาแปะเจ้าของร้านมาเฝ้าแทน ซวยไป 555
เวลาว่างสาวๆก็จะห่อหมากครับ แล้วแช่ตู้เย็นไว้ พอคนไปซื้อก็จะแถมถ้วยพลาสติก 1 ใบไว้บ้วนน้ำหมาก ไม่งั้นเลอะรถ
ตัวอย่างสาวขายหมากจาก Youtube ตอนอยู่บนรถผมถ่ายไม่ทัน
สองข้างทางระหว่างไป ผูหลี่ ถ้าเป็นพื้นราบจะเห็นเป็นท้องนาผืนเล็กๆ ไม่ติดต่อกัน แล้วก็ปลูกข้าวญี่ปุ่น คั่นด้วยโรงงาน SME ขนาดเล็กๆ เต็มไปทั่ว 2 ข้างทาง แปลกตามากๆครับ ถ้าเป็นบริเวณภูเขาแน่นอน ปลูกต้นหมาก พอใกล้เมืองผูหลี่แล้ว โรงงานจะเริ่มหายไป มีแต่ไร่นา พืชเศรษฐกิจ อีกตัวของที่นี่คือ หน่อไม้น่องนางงาม ครับ เราจะเห็นสปอตไลท์ รอบแปลงปลูก เป็นหน่อไม้ซื่อบื้อ ที่โดนหลอกว่าโลกนี้ไม่มีกลางคืน รีบๆโตซะนะ
ผูหลี่เป็นเมืองในหุบเขาครับ แน่นอน อากาศดีมากๆ แถมเย็นสบาย ตกค่ำก็แช่น้ำแร่ในห้องพักของโรงแรมครับ
ชื่อโรงแรม redmaple ก็ต้องมีต้น maple ให้ชมในการเดินเล่นยามเช้า
ทิวทัศน์จากหน้าต่างห้องพักครับ
การเดินทางวันแรกก็จบลง เหนื่อยมากๆครับ เพราะ เช็คอินที่สนามบินตอนตีสี่ครึ่ง กว่าจะถึงโรงแรมก็เย็นแล้ว แต่พอได้แช่น้ำแร่ก็เหมือนฟื้นพลังครับ มีแรงเที่ยวต่อ ยังไม่จบนะครับ ตามแผนจะเขียนอีก 2 ตอนครับ ไปดูกันว่าไต้หวันมีอะไรให้เทียวบ้าง
credit. ข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจากไกด์ท้องถิ่น คือ อาหลง ครับ อาหลงเป็นไกด์วัยรุ่น ลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน จบรัฐศาสตร์ปกครอง จาก มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เวลาบรรยายมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย สนุกสนานมากครับ ข้อมูลเชิงลึกเรื่องการเมืองปึ๊กมากๆ
ภาพเมืองผูหลี่ภาพ 1,2,3 จากคุณโทนี่ เพื่อนร่วมทริปจาก บริษัท ธีร์โฮลดิ้ง ครับ ถ่ายสวยกว่าผมเยอะ
Thank. หัวหน้าทัวร์คุณ ก็อดจิ จากอเวนิว ทัวร์ ดูแลดีมากครับ ขอบคุณครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น